การทำการตลาดออนไลน์ไม่ว่าจะยิงโฆษณา ทำคอนเทนต์ แชร์ลิงก์บนโซเชียล หรือส่งแคมเปญผ่านอีเมล สิ่งสำคัญที่นักการตลาดทุกคนต้องรู้คือ ผลลัพธ์จริงมาจากช่องทางไหน? เพราะถ้าไม่รู้ว่าทราฟฟิกมาจากไหนบ้าง การวิเคราะห์ผลลัพธ์ก็จะคลาดเคลื่อน ทำให้วางแผนไม่ได้อย่างแม่นยำ
และเครื่องมือเล็ก ๆ ที่สำคัญมากสำหรับเรื่องนี้คือ UTM ที่ช่วยติดตามแหล่งที่มาของทราฟฟิกแบบละเอียดจนรู้ว่า คนคลิกมาจากโพสต์ไหน ครีเอทีฟไหน หรือแคมเปญอะไร
แต่ก่อนจะใช้ให้ถูกต้อง มาทำความเข้าใจก่อนว่า UTM คืออะไร และทำไมถึงเป็นพื้นฐานสำคัญของ Digital Marketing
UTM คืออะไร?

UTM หรือ UTM Parameter คือชุดโค้ดสั้น ๆ ที่นำไปต่อท้ายลิงก์ เพื่อบอก Google Analytics ว่าคนที่คลิกลิงก์เข้ามานั้นมาจากช่องทางใด แคมเปญใด หรือครีเอทีฟชิ้นไหน โดยระบบจะเก็บข้อมูลอัตโนมัติแบบละเอียด
ตัวอย่างลิงก์ที่มี UTM: www.bepgroup.space/blog?utm_source=facebook&utm_medium=social&utm_campaign=newyear2026
เมื่อมี UTM ติดในลิงก์ คุณจะรู้ทันทีว่า:
- คลิกนี้มาจาก Facebook
- เป็นโพสต์ประเภท Social
- อยู่ในแคมเปญ New Year 2026
หรือเรียกว่า UTM คือ บัตรประชาชนของลิงก์ ที่ช่วยระบุที่มาอย่างละเอียด ทำให้นักการตลาดติดตามผลลัพธ์ได้แม่นยำมากขึ้น
องค์ประกอบของ UTM ที่ควรรู้
UTM มีทั้งหมด 5 แบบ แต่หลัก ๆ ที่ใช้บ่อยคือ 3 ตัวแรก คือ
1. utm_source มาจากช่องทางไหน
ใช้ระบุว่าทราฟฟิกเริ่มต้นมาจากแพลตฟอร์มอะไร เช่น Facebook, Google, Line, TikTok หรือจากแหล่งอื่น ๆ ที่พาคนเข้าสู่เว็บไซต์ จุดสำคัญคือ utm_source จะช่วยให้รู้ว่าช่องทางไหนสามารถสร้างผู้ชมได้จริง ไม่ต้องคาดเดาว่าโพสต์นี้หรือ Ads ชุดไหนเป็นตัวทำทราฟฟิก เพราะระบบจะเก็บข้อมูลให้แบบอัตโนมัติ
2. utm_medium ประเภทการเข้าถึง
ระบุประเภทของสื่อที่ใช้ เช่น social, cpc, email หรือ referral เพื่อดูว่าความตั้งใจของผู้เข้าชมมาจากการโฆษณาแบบเสียเงิน โพสต์ทั่วไป หรือการแชร์ลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ การแยกประเภทสื่อช่วยให้วิเคราะห์ได้ว่าแต่ละช่องทางมีคุณภาพต่างกันอย่างไร เช่น ผู้ชมจาก email อาจมี Conversion สูงกว่าผู้ชมจาก social เป็นต้น
3. utm_campaign ชื่อแคมเปญ
ใช้ติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญที่กำลังรันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น seasonal campaign, product launch, หรือแคมเปญลดราคาประจำเดือน การตั้งชื่อ utm_campaign ให้เป็นระบบจะช่วยให้มองภาพรวมของแต่ละแคมเปญว่าทำผลงานดีแค่ไหนเมื่อเทียบกัน ช่วยให้ปรับกลยุทธ์ในแคมเปญถัดไปได้ตรงจุดขึ้น
4. utm_term คีย์เวิร์ดโฆษณา (มักใช้กับ Google Ads)
ใช้ระบุคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้ค้นหาก่อนคลิกโฆษณา เหมาะกับแคมเปญ Search Ads ที่ต้องการรู้ว่าคำค้นหาใดสร้างคลิกหรือ Conversion มากที่สุด ช่วยให้คุณเห็นภาพว่าคีย์เวิร์ดไหนควรเพิ่มงบ หรือคีย์เวิร์ดไหนควรหยุด ช่วยประหยัดงบโฆษณาและเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น
5. utm_content ลิงก์มาจากครีเอทีฟไหน
ใช้แยกครีเอทีฟหรือองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในโฆษณา เช่น ปุ่ม CTA สีแดง vs สีฟ้า รูปภาพชุด A vs ชุด B หรือข้อความโปรโมชันแบบที่ 1 กับแบบที่ 2 เหมาะมากสำหรับการทำ A/B Testing เพราะคุณจะรู้ได้ทันทีว่าเวอร์ชันไหนทำงานดีกว่า และควรขยายผลกับชิ้นงานแบบใดในอนาคต
ทำไม UTM ถึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์
1. ช่วยรู้ว่าทราฟฟิกมาจากช่องทางไหนจริง ๆ
หลายครั้งโฆษณาไม่ได้เป็นตัวสร้างคลิกทั้งหมด อาจมาจากโพสต์ธรรมดา อินฟลูเอนเซอร์ หรือแชร์ต่อบนไลน์ UTM ทำให้รู้แหล่งที่มาจริงโดยไม่ต้องเดา
2. ดู ROI ได้แม่นยำขึ้น
การติด UTM ทำให้นักการตลาดเปรียบเทียบได้ทันทีว่าเงินที่ใช้ไปในแต่ละแคมเปญให้ผลลัพธ์เท่าไหร่ ช่วยให้จัดงบได้แม่นขึ้น และรู้ว่าควรเพิ่มงบหรือหยุดสื่อไหน
3. ติดตามผลแคมเปญแบบละเอียด
แค่ติด UTM คุณจะรู้ว่าโพสต์ไหน ครีเอทีฟไหน หรือข้อความไหนสร้างยอดคลิกและ Conversion มากที่สุด เหมาะมากสำหรับการทำ Optimization รายวัน
4. ใช้ร่วมกับ Google Analytics ได้ทันที
เมื่อใส่ UTM แล้วข้อมูลจะไหลเข้า Google Analytics แบบอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม ช่วยให้ทีมเห็นข้อมูลตรงกันและวิเคราะห์ผลได้รวดเร็ว
5. ช่วยพัฒนากลยุทธ์ Content และโฆษณา
รู้ว่าคอนเทนต์สไตล์ไหนดึงคนเข้าเว็บมากที่สุด รู้ว่าช่วงเวลาไหนคนคลิกมากที่สุด Data เหล่านี้ช่วยให้การทำการตลาดแม่นยำขึ้นทุกวัน
วิธีสร้าง UTM แบบง่ายที่สุด

Google มีเครื่องมือฟรีชื่อ Campaign URL Builder ที่ช่วยประกอบ UTM แบบอัตโนมัติ เพียงใส่ URL, utm_source, utm_medium, utm_campaign ระบบก็จะสร้างลิงก์พร้อม UTM ให้ทันที นำไปใช้ได้ทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line, TikTok, Email หรือ Ads
ข้อควรระวังในการใช้ UTM
อย่าตั้งชื่อมั่ว
การตั้งชื่อแคมเปญแบบ random เช่น test123 หรือ new-post-1 จะทำให้การวิเคราะห์รวนในอนาคต ควรตั้งให้เป็นระบบ เช่น brand2026_fb_social_launch
อย่าใส่ UTM ในลิงก์ภายในเว็บ
UTM เหมาะสำหรับลิงก์นอกเว็บไซต์ หรือ External Link เพราะถ้าหากใช้ภายในเว็บ ข้อมูลจะแตกและอ่านผลผิดพลาด
ระวังการแชร์ลิงก์ที่มี UTM ต่อ
ถ้าแชร์ลิงก์เดียวกันหลายกลุ่ม คนดูก็จะถูกนับแหล่งที่มาผิด เช่น แชร์จากเพื่อนแต่โชว์ว่ามาจาก Facebook Ads
สรุปได้ว่า UTM คือชุดโค้ดเล็ก ๆ สำหรับติดตามแหล่งที่มาของทราฟฟิกในทุกแคมเปญการตลาดออนไลน์ ทำให้นักการตลาดรู้ว่าคลิกมาจากช่องทางไหน ครีเอทีฟไหน และแคมเปญไหนได้ผลจริง ช่วยให้วิเคราะห์ผลได้แม่นยำ ควบคุมงบได้ดีขึ้น และพัฒนากลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
BEP Digital Agency พร้อมดูแลเว็บไซต์ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มตั้งแต่วางโครงสร้าง UTM, วิเคราะห์ผลใน Google Analytics, อ่านข้อมูลให้เป็นภาพใหญ่ และวางแผนแคมเปญแบบมีทิศทาง ติดต่อเราได้เลย!

