ถ้าอยากให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google ได้แบบยั่งยืน สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการหา Keyword อย่างมีชั้นเชิง เพราะการที่คุณจะหาคำที่ใช่จริง ๆ มันจะไม่ใช่แค่เดาคำในหัว หรือคิดคำขึ้นมาฟลุ๊ค ๆ แต่ต้องคิดหาอย่างมีขั้นตอน เข้าใจพฤติกรรมคนค้นหาอย่างแท้จริง ว่าคนกำลังมองหาอะไรอยู่ เช่น หาความรู้ หาสินค้า หรือตามหาแบรนด์อะไรอยู่
มาดูทีละขั้นกันว่าการหา Keyword SEO อย่างละเอียด ต้องทำยังไงบ้าง ตั้งแต่การเข้าใจธุรกิจตัวเองให้ชัด ไปจนถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์แบบมืออาชีพ เพื่อที่จะหาคีย์เวิร์ดได้อย่างตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ไปดูกันเลย!
7 วิธีหา Keyword SEO อย่างมีระบบ เห็นผลจริงในทุกสายงาน
1. เริ่มจากเข้าใจตัวเองก่อนหา Keyword
ก่อนจะไปเปิดเครื่องมือหรือดูคีย์เวิร์ดของคู่แข่ง ลองถามตัวเองก่อนว่า
- เว็บไซต์เราทำเกี่ยวกับอะไร ?
- สินค้าหรือบริการเราช่วยแก้ปัญหาอะไรให้คนได้บ้าง ?
- กลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร และเขาพูดภาษาแบบไหน ?
เพราะคีย์เวิร์ดที่ดีคือคำที่คนพูดจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่คำศัพท์สวยหรูที่เราคิดเอง เช่น ถ้าคุณขายครีมกันแดด “กันแดดทาหน้า” อาจเป็นคำที่คนใช้จริง มากกว่า “ผลิตภัณฑ์ป้องกันรังสี UV”
2. ใช้เครื่องมือช่วยขุดหา Keyword อย่างมีระบบ
เมื่อมีภาพรวมแล้ว ต่อมาคือใช้เครื่องมือช่วยค้นหาไอเดียให้ลึกขึ้น โดยเฉพาะตอนที่คุณอยากรู้ว่าคนพิมพ์ค้นหาอะไรกันจริง ๆ เครื่องมือที่ใช้บ่อยและเราอยากแนะนำ มีดังนี้
- Google Keyword Planner ฟรีจาก Google เห็นทั้งปริมาณค้นหาและความยากง่ายของแต่ละคำ

- Ubersuggest ใช้งานง่าย ดู Volume, CPC, และ SEO Difficulty ได้ในหน้าเดียว

- AnswerThePublic เหมาะสำหรับดูคำถามที่คนพิมพ์หา เช่น “ครีมกันแดดใช้ยังไง”

- Google Search Bar & Related Searches แค่พิมพ์บางคำ แล้วดูคำแนะนำที่ขึ้นอัตโนมัติ ก็ได้ไอเดียเพียบ

เทคนิคเล็ก ๆ คือ อย่าเก็บแต่คำหลัก (Head Keyword) อย่าง “ครีมกันแดด” แต่ให้ขุดคำย่อย หรือ Long-tail Keyword อย่าง “ครีมกันแดดสำหรับคนแพ้ง่าย” หรือ “กันแดดหน้าไม่วอก” เพราะคำเหล่านี้มักแข่งน้อยกว่า และตรงกลุ่มมากกว่า
3. วิเคราะห์เจตนาการค้นหา (Search Intent)
หนึ่งในจุดที่คนทำ SEO มักพลาดคือไม่เข้าใจเจตนาของคนค้นหา ทั้งที่มันคือหัวใจของการเลือกคีย์เวิร์ดที่ถูกจริต โดยเจตนาค้นหาหลัก ๆ จะมี 3 แบบ ได้แก่

- Informational คนอยากหาความรู้ เช่น “วิธีหา keyword”
- Transactional คนพร้อมจะซื้อ เช่น “สมัคร Google Ads ราคาเท่าไหร่”
- Navigational คนหาชื่อแบรนด์หรือเว็บเฉพาะ เช่น “รองเท้า Nike ผู้หญิง”
ถ้าเราเลือกคีย์เวิร์ดผิดประเภท บทความก็จะไม่ตรงกับสิ่งที่คนต้องการ เช่น เขาแค่หาความรู้แต่เราเขียนขายของเต็มหน้า Google ก็จะมองว่าไม่ตอบโจทย์ Search Intent
4. เช็กคู่แข่งว่าทำอะไรอยู่
เปิด Google แล้วพิมพ์คำที่อยากทำ SEO จากนั้นดูเลยว่าหน้าแรกมีใครอยู่บ้าง ลองสังเกตว่าเขาเขียนเนื้อหาแนวไหน ใช้คีย์เวิร์ดตรงไหนบ้าง เขามี SEO Title, SEO Description, และ หัวข้อย่อย (H2,H3) ยังไง
เทคนิคคืออย่าก๊อป แต่ให้เรียนรู้ช่องว่างที่คู่แข่งไม่มี ดูว่าคู่แข่งยังไม่ได้ตอบคำถามอะไร หรือเรามีมุมที่ลึกกว่าหรืออยากอัปเดตกว่าไหม ตรงนั้นแหละคือจุดที่เราสามารถแทรกตัวขึ้นมาได้
5. จัดกลุ่ม Keyword ให้เป็นหมวดหมู่
พอมีลิสต์คีย์เวิร์ดเยอะ ๆ แล้ว อย่าปล่อยให้มันกระจัดกระจาย ให้จัดเป็นกลุ่ม เช่น
6. ตรวจเช็กความคุ้มค่าก่อนเลือกใช้ Keyword
อย่าเลือกคีย์เวิร์ดแค่เพราะมี Volume สูง แต่ให้ดูความคุ้มค่าด้วย เช่น
- ความยาก (SEO Difficulty)
- ความเกี่ยวข้องกับสินค้า
- ความตั้งใจของคนค้น
บางคำคนหามากแต่ไม่ตรงกลุ่ม เช่น “วิธีหา keyword ฟรี” อาจดึงคนที่ไม่อยากจ่ายเลย ซึ่งไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจ SEO เอเจนซี่ก็ได้
7. ทดลองใช้ Keyword และปรับเรื่อย ๆ
คีย์เวิร์ด SEO ไม่ใช่ของตาย ต้องอัปเดตเสมอ เพราะพฤติกรรมคนเปลี่ยนทุกวัน เริ่มจากวางคีย์เวิร์ดใน Title, Description, Heading และเนื้อหาหลัก จากนั้นคอยดูผลใน Google Search Console ว่าอันดับขยับไหม คนคลิกจากคำไหนมากสุด ถ้าพบว่าบางคำอันดับดี ให้เสริมเนื้อหาเพิ่ม แต่ถ้าคำไหนไม่ขยับเลย อาจต้องปรับเนื้อหาให้ตอบ Search Intent ชัดขึ้น
สรุปได้ว่า การหา Keyword SEO ไม่ใช่เรื่องของเครื่องมือเพียงอย่างเดียว แต่มันคือเรื่องของการเข้าใจคน ถ้าเข้าใจว่าเขาคิดยังไง ค้นหาอะไร และต้องการอ่านแบบไหน เราก็จะเลือกคำที่ตอบโจทย์ได้จริง รับรองว่าคอนเทนต์ของคุณติดอันดับอย่างยั่งยืน
BEP Digital Agency พร้อมช่วยวางแผน SEO แบบครบวงจร ตั้งแต่การหา Keyword, สร้างคอนเทนต์ที่ตอบ Search Intent ไปจนถึงการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้พร้อมติดอันดับอย่างยั่งยืน ติดต่อเราได้เลย!
%20(1).jpg)
