เว็บไซต์ที่ดูดีแต่ทำไมกลับไม่ติดอันดับ แถมยังโหลดช้า หรือคนเข้าเว็บไซต์แล้วออกทันที ซึ่งปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากคุณภาพของเว็บไซต์ในเชิงเทคนิค โครงสร้าง และประสบการณ์ผู้ใช้ โดยสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเดาเอาได้ ต้องใช้โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์เข้ามาช่วยวิเคราะห์
วันนี้เราจะพาไปรู้จัก 5 โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ที่สาย SEO นักการตลาด และเจ้าของธุรกิจใช้กันจริง เพื่อเช็กสุขภาพเว็บแบบเข้าใจง่าย ไม่ต้องเป็นสายเทคนิคก็เริ่มต้นได้ ไปดูกันเลย!
ทำไมต้องใช้โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์
ก่อนจะไปดูรายชื่อโปรแกรม ควรเข้าใจก่อนว่าการตรวจสอบเว็บไซต์ไม่ได้มีไว้แค่หาจุดพัง แต่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของเว็บในมุมที่ผู้ใช้และ Google มอง
โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์จะช่วยตอบคำถามสำคัญ เช่น เว็บไซต์โหลดเร็วพอหรือยัง โครงสร้าง SEO มีปัญหาตรงไหน หน้าไหนควรปรับปรุงก่อน และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เว็บไม่โตตามที่ควร เมื่อรู้ปัญหาที่แท้จริง การแก้ไขก็จะตรงจุดมากขึ้น ไม่เสียเวลาเดาสุ่ม
แนะนำ 5 โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ที่ใช้ได้จริง
1. Google PageSpeed Insights

หนึ่งในโปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ที่ควรรู้จักเป็นอันดับแรก คือ Google PageSpeed Insights เครื่องมือนี้โฟกัสเรื่องความเร็วเว็บ และ Core Web Vitals ซึ่งมีผลต่อ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้โดยตรง
PageSpeed Insights จะประเมินเว็บไซต์ทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป พร้อมบอกคะแนนและคำแนะนำแบบเข้าใจง่าย เช่น
- ไฟล์ภาพใหญ่เกินไปหรือไม่
- เว็บใช้ JavaScript หนักเกินไปหรือเปล่า
- อะไรคือจุดที่ทำให้หน้าเว็บโหลดช้า
แม้บางคำแนะนำจะดูเทคนิค แต่ก็ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าเว็บของเราช้าจากอะไร และควรเริ่มแก้ตรงไหนก่อน
2. GTmetrix

ถ้าอยากดูความเร็วเว็บในเชิงลึกมากขึ้น GTmetrix เป็นอีกโปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ที่นิยมใช้กันมาก จุดเด่นคือการแสดงผลเป็นกราฟและไทม์ไลน์ ทำให้เห็นชัดว่าเว็บโหลดอะไรตอนไหน
GTmetrix ช่วยให้เข้าใจว่าองค์ประกอบไหนของเว็บที่กินเวลามากที่สุด เช่น รูป สคริปต์ หรือปลั๊กอินบางตัว เหมาะมากสำหรับคนที่อยากคุยกับทีมพัฒนาเว็บหรือเอเจนซี่แบบมีข้อมูลในมือ
3. Ahrefs Site Audit

ถ้าพูดถึงการตรวจ SEO แบบจริงจัง Ahrefs คือหนึ่งในเครื่องมือที่สาย SEO ใช้กันเป็นประจำ ฟีเจอร์ Site Audit ของ Ahrefs ทำหน้าที่เป็นโปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ในเชิงโครงสร้างและเทคนิค
เครื่องมือนี้จะช่วยตรวจสอบ เช่น
- Broken links
- ปัญหา Meta title และ Meta description
- โครงสร้าง Heading
- ปัญหา Duplicate content
- ความสมบูรณ์ของ Internal link
สิ่งที่ Ahrefs ทำได้ดีคือการจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ทำให้รู้ว่าควรแก้อะไรก่อน ไม่ต้องไล่มั่วทั้งเว็บ
4. Google Search Console

Google Search Console โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ที่สะท้อนมุมมองของ Google โดยตรง
คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้เพื่อตรวจสอบว่า
- หน้าไหนถูก Index แล้วหรือยัง
- มีปัญหา Error อะไรบ้าง
- ผู้ใช้ค้นหาคำอะไรแล้วเจอเว็บไซต์ของคุณ
- เว็บมีปัญหา Core Web Vitals หรือไม่
จุดเด่นของ Search Console คือข้อมูลทั้งหมดมาจาก Google จริง ๆ เหมาะมากสำหรับการเช็กคุณภาพเว็บในระยะยาว และใช้วางแผนปรับปรุง SEO อย่างเป็นระบบ
5. Screaming Frog

Screaming Frog เป็นโปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่คล้าย Google Bot คือเข้าไปไล่สแกนทุกหน้าในเว็บ เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีหลายหน้า หรืออยากตรวจโครงสร้างแบบละเอียด
เครื่องมือนี้ช่วยให้เห็นภาพว่า
- แต่ละหน้ามี Title และ Description ครบหรือไม่
- Heading ถูกใช้ถูกโครงสร้างหรือเปล่า
- มีหน้าไหนที่ไม่มี Internal link ชี้เข้าหรือไม่
แม้หน้าตาอาจดูไม่เป็นมิตรกับมือใหม่ แต่ถ้าใช้เป็น จะช่วยประหยัดเวลาการตรวจเว็บได้มาก
ควรใช้โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์ตัวเดียวหรือหลายตัว
คำตอบคือ ไม่มีเครื่องมือไหนที่ตอบโจทย์ทุกอย่างในตัวเดียว โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์แต่ละตัวมีจุดเด่นต่างกัน บางตัวถนัดเรื่องความเร็ว บางตัวถนัด SEO เชิงเทคนิค และบางตัวให้ข้อมูลจาก Google โดยตรง
ทางที่ดีที่สุดคือใช้หลายเครื่องมือร่วมกัน เพื่อให้เห็นภาพเว็บในหลายมุม และตัดสินใจได้แม่นยำขึ้นว่าควรปรับปรุงตรงไหนก่อน
BEP Digital Agency เราใช้โปรแกรมตรวจสอบเว็บไซต์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เรานำข้อมูลจากเครื่องมือมาวิเคราะห์ต่อ เชื่อมกับเป้าหมายธุรกิจ พฤติกรรมผู้ใช้ และกลยุทธ์ SEO เพื่อให้การปรับเว็บสร้างผลลัพธ์ได้จริง
บริการของเราครอบคลุมตั้งแต่
- Website Audit เชิงลึก
- Technical SEO
- ปรับโครงสร้างเว็บไซต์
- ไปจนถึงวางกลยุทธ์คอนเทนต์และ Conversion
หากคุณอยากรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณควรปรับตรงไหนก่อน เพื่อให้ทั้ง Google และผู้ใช้พอใจ BEP Digital Agency พร้อมช่วยตรวจ วิเคราะห์ และพัฒนาเว็บไซต์ให้โตอย่างยั่งยืน ติดต่อเราได้เลย!

